ความทรงจำในวัยเด็ก - นิยาย ความทรงจำในวัยเด็ก : Dek-D.com - Writer
×

    ความทรงจำในวัยเด็ก

    บอกเล่าความทรงจำให้คนที่ห่วงใยเรามาทั้งชีวิต

    ผู้เข้าชมรวม

    220

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    2

    ผู้เข้าชมรวม


    220

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    จำนวนตอน :  1 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  21 ส.ค. 53 / 12:55 น.
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

    ผม  เกิดมาในครอบครัวที่มีความสุข อาจจะไม่ร่ำรวยเงินทอง แต่ครอบครัวที่พ่อผมสร้างมานั้น เป็นสิ่งหนึ่งที่ผมในเวลานี้ต้องการ ในครอบครัวเรา ตอนนั้นเมื่อ 25 ปีก่อน ผมอายุได้ 4 ขวบ อาจจะมีหลายคนที่เริ่มจำความได้ก่อนอายุเท่าผมแต่สำหรับผมแล้ว ความทรงจำในวัยเด็กผมมันเริ่ม ณ เวลานี้ พ่อ ของผมเป็นตำรวจ เป็นอาชีพที่ เด็กๆหลายคนอยากจะเป็น แต่จริงๆแล้ว พ่อเป็นตำรวจดับเพลิง ประจำอยู่สถานีดับเพลิงบางซ่อน เมื่อคราวนู่น พ่อเป็นคนหนุ่มที่เอาการ เอางาน ยศ ในตอนนั้นเป็น สิบตำรวจ ทุกครั้งที่เกิดไฟไหม้ในพื้นที่หรือนอกพื้นที่ พ่อก็ต้องออกไป ผมในขณะนั้นไม่รู้สึกเลยว่างานตำรวจ เป็นงานที่ดี ผมไม่อยากให้พ่อไปไหน ผมต้องการอยู่กับพ่อและแม่ ตลอดเวลา แม่มักจะพูดเสมอว่า งานดับเพลิง เราไม่สามารถกำหนดเวลาได้ว่า เราจะต้องทำงานถึงกี่โมง บางที ตี2-ตี3 ก็ต้องไปดับไฟก็มี  บางทีถ้าเกิดผมตื่นมากลางดึกแล้วไม่เจอพ่อ ผมก็จะร้องไห้ แม่ต้องมาปลอบเสมอ จนเป็นที่รู้กันดี ที่ครอบครัวเราอาศัยอยู่นั้น เป็น แฟรตตำรวจ เป็นตึกสูง 5 ชั้น และแต่ละชั้นจะมีห้อง นับ 10 ผมอยู่ชั้น ที่ 3 ห้อง ที่ 6 เนื่องจากพ่อต้องออกไปดับเพลิงช่วงดึกบ่อยๆ วันหนึ่ง พ่อซื้อตุ๊กตา โดราเอม่อน สีแดง ขาว ผมจำได้ดี พ่อบอกว่า ถ้าวันไหนตื่นมาดึกๆแล้วไม่เจอพ่อ ก็ให้กอด พี่โดเรม่อน นะ เหมือนให้ตุ๊กตา แทนตัวพ่อ ตอนแรกๆผมดีใจมาก เพราะเมื่อตื่นมากลางดึกแล้วไม่เจอพ่อ ผมจะหันไปกอดพี่โดราเอม่อน แล้วก็จะหลับทุกครั้งไป แต่วันนั้น มีวิทยุแจ้งเหตุเข้ามา เวลาประมาณ ทุ่มกว่าๆ แจ้งว่า มีเหตุไฟไหม้ที่ปั้มน้ำมันแต่ผมจำไม่ไ่ด้ว่า ปั้มอะไรและแถวไหน แต่ที่แน่ๆ มันออกข่าว โทรทัศน์เลยทีเดียว พ่อ และคนอื่นๆทั้งสถานี ต้องออกไปช่วยเสริมให้หน่วยอื่นที่เข้าประจำอยู่ก่อนแล้ว จะด้วยอะไรก็ตาม ผมมีความรู้สึกว่า ผมไปอยู่ ณ จุดตรงนั้น ความทรงจำของผมบอกว่า ผมยืนอยู่ใกล้ๆที่เกิดเหตุ ห่างไม่ถึง 100 เมตรด้วยซ้ำ ภาพสมองนั้น ผมยืนมอง เปลวไฟ ที่ลุกโชน เสียงจากแรงระเบิด ดังไปทั่ว ภาพคนที่ถูกไฟลุกทั่วตัวและวิ่งหนีตะเกียกตะกายออกมา มันทำให้ผมรู้สึกว่า น่ากลัว ผมมุดตัวเข้าไปใต้ท้องรถ อะไรไม่รู้ แล้วเฝ้ามองเหตุการณ์เล่านั้น จนกระทั่งผมมารู้สึกตัวอีกที ก็มี คนมาพาผมกลับบ้านและนอนไปตอนไหนก็จำไม่ได้ ตั้งแต่เหตุการณ์คราวนั้นผ่านไป ทุกครั้งที่ผมตื่นขึ้นมา คราบเลือดแห้งๆจะมาอุดที่รูจมูกผมทุกวัน ผมมีอาการเลือดกำเดาไหลเวลานอนอย่างไม่รู้สาเหตุ พี่โดราเอม่อน ของผม ปกติเป็นสีแดงอยู่แล้ว ตอนนี้ถูกย้อมด้วยสีเลือดกำเดาของผมแทน พ่อและแม่ก็ไม่รู้สาเหตุ เมื่อพาไปหาหมอ หมอก็บอกว่า เป็นเพราะอากาศ ที่ร้อน ทำให้เกิดอาการร้อนใน จนเลือดกำเดาไหล ด้วยความที่เป็นเด็ก ผมก็ไม่ได้สนใจอะไร จนมาวันหนึ่ง เป็นอีกวันที่ผมจำไม่เคยลืม  คนในแฟรต บอกว่า มีงูเหลื่อม หรืออะไรสักอย่าง อยู่ตรงป่าหลังแฟรต มันไม่เชิงป่านักหรอก เป็น พวกใบบอน ที่ขึ้นกันเยอะมาก เขาบอกว่า มันกำลังกินหนู อยู่ ตอนนั้นก็เป็นเวลาเย็น เกือบค่ำแล้ว  ภาพที่เห็นคือ  พ่อผมดึงหางของงูตัวนั้นมา ตัวมันใหญ่ ขนาด เท่าแขนพ่อได้เลย พ่อดึงแล้วก็วิ่งลากมันมาที่ลาน กลางแฟรต ซึ่งตอนนั้น คนมายืนดูเยอะมาก ทุกคนที่อยู่ที่นี่ 100กว่าครอบครัวรู้จักกันหมด และสนิทกันมากด้วย  พ่อผมลากเสร็จ ทุกคนก็ฮือฮา ว่า ตัวมันใหญ่ นะ  มันจะกัดไหม  มีพิษ หรือเปล่า ก็จะหาถุงมาใส่มัน ในตอนนั้น มือพ่อยังจับที่หางงูอยู่  งูตัวนั้นก็ เหลียวจะมาฉก พ่อ อันนี้เรื่องจริง พ่อกระตุกหางมัน แล้ว เหวี่ยงควง เหนือ หัว ผมร้อง โอ้โห้ เป็นภาพที่ไม่น่าเชื่อ ผมยืนมองพ่อด้วยความชื่นชม พ่อคือ สุดยอดแล้วใน ขณะ นั้น ทุกคนล้วนแล้วแต่ ตะลึงกับภาพที่เห็น ผมหันไปมองแม่ ที่ยืนดูอยู่เหมือนกัน แม่ใส่ ผ้าถุงกระโจมอก เพราะกำลังอาบน้ำอยู่  แม่มีสายตาเป็นห่วงพ่อ ผมเดินเข้าไปหาแม่ใกล้ๆ แม่น้ำตาคลอเบ้า ก่อนที่จะพูดออกมาเบาๆว่า ทำไมต้องเสี่ยงขนาดนี้ด้วย ผมไม่รู้ว่าความเสี่ยงคืออะไร แต่ตอนนั้นพ่อได้ทำสิ่งที่ผมจะจำไปจนตาย พ่อเท่ที่สุดเลย ผมเริ่มรู้สึกว่า อาชีพตำรวจดับเพลิงนี่มัน เท่จริงๆเลยเนอะ  ช่วงนั้น พ่อมักจะดุผมเสมอว่า เวลาที่ปวดท้องถ่าย ให้มาเข้าห้องน้ำเลย ไม่ต้องอั้นไว้ เพราะผมจะห่วงแต่เล่น ไอ้สิ่งที่ว่ามันก็ติดอยู่กับกางเกงในนั้นเอง แต่พ่อจะไม่ตีผม พ่อเพียงแค่สั่งสอน แต่ผมเองก็ไม่ฟังเท่าไร  ในตอนที่เข้าเรียนอนุบาลครั้งแรก แม่จะเป็นคนพาผมมาส่งเท่านั้น ผมก็ถามแม่อยู่ตลอดว่า ทำไมพ่อไม่มา แม่ก็บอกว่า พ่อต้องทำงาน ก็เหมือนเด็กทั่วไป เมื่อแม่ส่งแล้วก็กลับ เวลาทีผมหันไปมองแม่ที่กำลังเดินออกไปจากประตู ผมต้องร้องไห้ตามแม่ทุกครั้งไป จนแม่ต้องยืนอยู่หน้าประตูแล้วบอกกับผมว่า แม่ยืนรออยู่ตรงนี้นะ เดี๋ยวตอนเลิกเรียนเดินออกมาก็เจอแม่ จริงๆแม่ไม่ได้รอ แม่แค่พูดหลอกผมไปอย่างงั้น ผมไม่รู้หรอกตอนนั้นแต่ผมก็เชื่อ เพราะทุกวันเลิกเรียน แม่จะยืนรอผมที่หน้าโรงเรียนเสมอ มันจึงทำให้ผมไปเรียนโดยไม่ต้องร้องไห้  ที่โรงเรียน อนุบาล เด็กๆทุกคนต้องนอนกลางวัน ทุกวัน ทุกคนจะมีที่นอนของตัวเอง เรานอนเรียงกันเยอะแยะ หลับบ้างไม่หลับบ้าง ผมนั้นนอนหลับทุกวัน และฉี่รดที่นอนทุกวันจนเป็นที่ร่ำลือ ไม่มีใครด่าว่าอะไรผม คุณครูบอกกับผมว่า ถ้าปวดฉี่ ให้ ตื่นขึ้นมาเลยนะจ๊ะ ผมไม่สามารถแยกความจริงกับความฝันออก ผมเลยไม่รู้จะตื่นมาตอนไหน จนครู เริ่มไม่สนใจผมแล้ว  จนเวลาผ่านไป ปีกว่า ผมเริ่มเข้าเรียน ชั้น ป.1 จะว่าเข้าก่อนอายุหรือเปล่าผมก็ไม่แน่ใจ สิ่งต่างๆที่เปลี่ยนไป มันเร็วมากจนผมอาจเล่าเรื่องราวสลับไปมาก็เป็นได้ ถึงแม้จะเข้า ป.1 แม่ก็ยังมาส่งผมทุกวัน และจะป้อนข้าวตอนเช้าทุกวันด้วยเช่นกัน ก็มีเพื่อน ชื่อ มิค เป็นลูกตำรวจเหมือนกันอยู่แฟรตเดียวกัน มันจะชอบมาล้อผม โตจะตายให้แม่ป้อนข้าวอีก เป็นภาษา โคราช แม่ก็หันมามองผม ผมเอาช้อนข้าวที่แม่กำลังจะตัก นั้น มาตักข้าวกินด้วยตัวเอง ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา แม่ก็ได้แต่ ขำ เมื่อการศึกษาเพิ่มขึ้น สิ่งที่ตามมาก็ คือ การบ้าน โดยส่วนตัวและความชอบเล่น ผมไม่เคยทำการบ้านเลยแม้แต่ครั้งเดียว กลับถึงบ้าน พ่อจะถามผมเสมอว่า มีการบ้านไหม ผมจะตอบว่า ไม่มี  และก่อนนอน พ่อก็จะถามผมอีกครั้ง ว่ามีการบ้านไหม ผมก็จะร้องไห้ แต่ไม่ได้ร้องเพราะเสแสร้ง ผมร้องไห้เพราะกลัวโดนพ่อด่ามากกว่า พ่อก็ถามแค่นั้น และพ่อก็จะทำการบ้านให้ผม  แต่ทำให้แค่ครั้งเดียว พ่อบอกว่า การบ้านเป็นของผม ผมต้องหัดทำเอง แต่ ทุกวัน ผมก็ไม่เคยทำการบ้าน พ่อจึงตัดสินใจ ให้ผมไปเรียนพิเศษที่โรงเรียนหลังเลิกเรียนทุกวัน ผมไม่ชอบเลย เพราะนอกจากจะมีการบ้านเพิ่มขึ้นแล้ว ผมต้องกลับบ้านคนเดียว ไม่มีเพื่อนๆกลับด้วย หลังเลิกเรียนพิเศษ ผมจึงยืนร้องไห้อยู่เสมอ แม้ครูจะเข้ามาปลอบแต่ผมก็ไม่ฟังอะไรทั้งนั้น เป็นเรื่องไม่มีเหตุผลของเด็กๆ ทำให้ผมงอแงไม่อยากไปเรียนพิเศษ  พ่อจึงบอกกับผมว่า พ่อจะไปรับ เท่านั้นผมก็ดีใจมากแล้ว ช่วงเวลานับจากเลิกเรียนพิเศษ พ่อจะมายืนรอผมเสมอแต่ก็ไม่ได้ทำให้ผมตั้งใจเรียนขึ้นเลย  เมื่อต้องขึ้น ป.2 แม่ซื้อกล่องใส่ข้าวมาให้ผมกินที่โรงเรียน แต่ด้วยความไม่เคยชิน ข้าวกล่องที่แม่ให้มาทุกวันนั้น ผมไม่เคยกินเลย จนกระทั่งมันบูดเน่าเสีย และต้องเอาทิ้ง ผมจำได้ว่า แม่ซื้อให้ 5 กล่อง และหลังจากนั้นแม่ไม่เคยซื้อให้อีกเลย ในช่วงอายุ 7 ขวบ ผมมีความรู้สึกชอบเด็กผู้หญิงคนหนึ่งในห้อง ไม่รู้ว่าชอบมันคืออะไร รู้แต่ว่า อยู่ใกล้ๆแล้วผมเขินอายไม่กล้าพูดด้วย ในห้องของผมจะกำหนดไว้ว่า เมื่อนั่งโต๊ะตัวไหนแล้วก็ให้นั่งตรงนั้นตลอดไป เด็กผู้หญิงคนนี้ ชื่อ คิว เป็นเด็กที่น่ารักมากในสายตาผม ผมได้นั่งใกล้เธอทุกวัน จะด้วยว่าใกล้ทุกวันแล้วเกิดชอบก็ไม่แน่ใจ เธอนั่งอยู่ฝั่งซ้ายผมอยู่ฝั่งขวา ประมาณกลางห้อง วันนั้น ผมเกิดปวดฉี่มาก ผมจึงขออนุณาต คุณครู แต่ครูบอกไม่ให้ไป ผมจึงกลับมานั่งต่อ แต่จะทนไม่ไหวจริงๆจึงขอ อนุณาตอีกครั้ง ครูก็ไม่ให้ไป ผมก็ไม่รู้ว่าทำไม ผมกลับมานั่งที่โต๊ะ คิว ถามผมว่า เป็นอะไร ผมบอกว่า ปวดฉี่ มาก ไม่ไหวแล้ว มันทนไม่ไหวจริงๆ ผมจึงบอกเธอว่า ผมจะฉี่ตรงนี้ รดกางเกงไปเลย คิวห้ามบอกครูนะ เธอก็ตกใจ แล้วผมก็ฉี่เลย มีความรู้สึกโล่งอย่างบอกไม่ถูก อยู่ๆ คิว ก็ ลุกขึ้นแล้วบอก ครู ครู ค่ะ วสันต์ ฉี่ใส่กางเกง (ครับผมชื่อวสันต์ เพิ่งจะบอกเอาตอนนี้)
    ทุกคนหันมาทางผมหมด ครูตกใจมาก รีบวิ่งมาหาผม แล้วยังบอกอีกว่า ทำไมไม่บอก ผมตอนนั้น ร้องไห้ไปแล้ว  พูดทั้งน้ำตาว่า  บอกแล้ว แต่ครูไม่ให้ไป ครู พาผมไปที่ห้องพักครู แล้วโทร แจ้งพ่อกับแม่ผมทันที ผมตกใจยิ่งกว่าเดิมนึกว่าเป็นเรื่องใหญ่ แต่ครูบอกว่า ให้ พ่อแม่เอากางเกงมาเปลี่ยน เมื่อเห็นหน้าพ่อ ผมวิ่งเข้าไปกอดพ่อทันที พ่อก็หันไปหาครูผมแล้วก็ต่อว่า ทำไมไม่ปล่อยให้เด็กได้เข้าห้องน้ำ ครูผมก็ขอโทษเป็นการใหญ่ แต่ผมก็ไม่ได้คิดอะไรกับครูคนนี้มากเท่าไร คนที่ผมคิดด้วย คงจะเป็นคิวมากกว่า ในตอนนั้นในหัวผมมันคิดแต่เพียงว่า ทำไม คิว ไม่รักษาคำพูดกับเรา ถึงผมจะเคืองคิว แต่แปบเดียวผมก็ลืม หลายคนจะมาล้อผมว่า ฉี่แตก ผมก็เฉยๆ แถมหัวเราะใส่ด้วย หลายคนรู้จักผมเพราะฉี่แตกนี่แหละ ผ่านไปสักพักทุกคนก็ลืม
    และเวลาแห่งการเดินทางก็เริ่มต้นขึ้น พ่อกับแม่บอกกับผมว่า ให้ผมลองกลับบ้านด้วยตัวเองดู โดยการนั่งรถเมล์ พ่ออธิบายให้ ผมฟังว่า ต้องขึ้น ตรงป้ายรถเมล์หน้าโรงเรียน และให้นั่งมาลงที่สถานีตำรวจดับเพลิงเวลาขึ้น ก็ตามผู้ใหญ่ไป แล้วเวลาลงให้มองหา กริ่งพยายามนั่งให้ใกล้กริ่ง เพราะเวลาลงจะได้กดลงได้ทันที พ่อผมบอกแค่นั้น อยากเรียนรู้ ผมอยากนั่งรถกลับบ้านเองสักครั้ง ผมเฝ้านึกถึงคำพูดของพ่อ ให้ตามผู้ใหญ่ ตามผู้ใหญ่ ผมก็ขึ้นรถตามเขาไป และพยายามหากริ่งที่ใกล้ตัว แต่ไม่เคยไปไหนมาไหนเองเลยสักครั้ง ผมไม่เคยจดจำสถานที่ เพราะทุกครั้งเวลามากับแม่ แม่จะเป็นคนกดกริ่งพาผมลงตลอด และผมก็นั่งหลับมาตลอด ผมพยายามนึกสิ่งที่สำคัญที่ใกล้ๆบ้านผม แต่ไม่เจออะไรที่คุ้นตาเลย ด้วยความกลัวผมจึง ตัดสินใจกดกริ่งลงทันที เพราะอย่างน้อย ถ้าเดินกลับมันคงเจอบ้านเราเข้าสักวันผมคิดอย่างนั้น พอลงป้าย สิ่งที่เจอกลับเป็นสิ่งที่ไม่คุ้นเคย ผมยินอยู่นิ่งๆข้างถนน เฝ้ามองรถที่ผ่านไปผ่านมา ในใจอยากจะร้องหาพ่อและแม่ แต่ไม่รู้จะทำยังไง แม่เคยสอนว่า เวลาที่หลงทาง ให้โทรมาที่สถานี แล้วจะให้คนไปรับ ผมนึกขึ้นได้ จึงเดินไปที่ตู้ เบอร์โทร ที่จำได้ดี แม้แต่ตอนนี้ผมก็ยังไม่ลืม ตู้โทรศัพท์ สมัยนั้นเป็นแบบใช้ นิ้วเสียบเข้าตรงรู แล้วหมุน และต้องรอให้มันเด้งกลับมาก่อนถึงจะหมุนเบอร์ต่อไปได้ แต่ตอนนั้นผมไม่รู้ผมก็หมุนไปเรื่อยๆไม่ได้รอให้มันเด้งกลับ โทรติดจริงๆ แต่เป็นใครก็ไม่รู้ เขาก็ ตอบ ฮัลโหลๆ ซึ่งปกติ ถ้าเป็นที่สถานีตำรวจ เขาจะบอกชื่อ สถานี และคนรับ เสมอ ยิ่งสร้างความกลัวให้ผมยิ่งขึ้น ผมร้องไห้ใส่เขา ก่อนที่จะวางไป เงิน 1 บาทสุดท้าย ก็ไม่มี ผมยืนกัดฟันอดกลั้นน้ำตาเอาไว้ พยายามมองหาใครสักคน แต่ตรงนั้น กลับไม่มีคนเห็นผมด้วยซ้ำ ผมยืนอยู่พักใหญ่ รถเมล์ อีกคันก็เข้ามาจอด  คนที่ก้าวลงมาเป็นคนที่ผมรักมากที่สุด พ่อกับแม่ผมวิ่งลงมาจากรถ เข้ามากอดผมเอาไว้ ผมกอดพ่อกับแม่และร้องออกมาอย่างไม่อายใครเลย พ่ออุ้มผมขึ้นไว้บนบ่า น้ำตาแม่คลอเบ้า และบอกกับผมว่า พ่อเขาเป็นห่วงผม จึงให้แม่ขึ้นรถมารับ แต่พอมาถึงที่โรงเรียนก็ไม่เจอผมแล้วจึงโทรบอกพ่อ พ่อกับแม่ จึงนั่งรถเมล์ไล่มองหาผมมาตลอดทาง จนมาเจอผม ที่อยู่เลย สถานีดับเพลิง ไป 4 ป้าย พ่อผมกอดผมไว้แน่น และบอกกับผมว่า จะไม่ให้ผมไปไหนคนเดียวอีกแล้ว พอกลับถึงบ้าน ทุกคนในแฟรตก็ออกมาถามไถ่ผม ต่างๆนาๆ ผมก็หัวเราะทั้งน้ำตา เรื่องที่เกิดขึ้นวันนั้น ทำให้พ่อกับแม่ผมตัดสินใจที่จะใช้บริการ รถ รับ-ส่งนักเรียน ที่ทางแฟรตเขาจัดเตรียมให้ ซึ่งคนขับเป็นตำรวจดับเพลิงเหมือนกัน และลูกเขาก็เรียนที่เดียวกับผม เป็นรถกะบะมีหลังคาและก็มีเบาะให้นั่ง ตกเดือนล่ะ 150 บาท เอง เป็นการช่วยค่าน้ำมันมากกว่า ดีกว่านั่งไปเฉยๆ ในรถก็มีเพื่อนๆน้องๆพี่ๆในแฟรตเต็มรถ ก็ทำให้พ่อกับแม่ผมหายห่วงไปเปราะหนึ่ง  ในวัยนั้น เพื่อนพ้องในห้องเรียนจะพูดคุยกันตามประสาเด็กทั่วไป ดื้อ ซน กันไป ซึ่งผมมักจะดื้อกว่าใครเพื่อน ผมสนิทกับเพื่อนคนหนึ่ง ชื่อ อภินันท์ เวลาไปไหนมาไหนเราก็จะไปด้วยกัน เป็นเพื่อนในแก็งค์ที่มีผมเป็นหัวหน้า วันหนึ่ง อภินันท์ บอกกับผมว่า ที่ป่า แถวบ้านเขา มีเต่าทองเยอะมากว่าจะจับมาให้ดู แต่จับไม่ทันเพราะมีคนเดียว ผมจึงบอกว่า งั้นเดี๋ยวผมจะมาจับด้วย แต่ผมไม่รู้จักบ้านของ อภินันท์เลย  ด้วยวัยนั้น อภินันท์ก็วาดแผ่นที่บ้านของเขา ว่า มันจะมีซอยนะ แล้วขี่รถเข้ามา ก็จะเจอ 4 แยก ก็จะเจอ ป่า มีบ่อน้ำ มี งูด้วย เขาก็วาดรูปงู รูปบ่อน้ำ ผมก็ร้อง โห้ น่ากลัวจังเลย แล้วเขาก็ยื่นให้ผม หลังเลิกเรียน เวลา บ่าย 3 กว่าๆ ผมหยิบแผ่นแผนที่บ้าน อภินันท์ ขึ้นมาดู ก่อนที่จะจับ จักรยานคันโปรด ที่พ่อซื้อให้เป็นของขวัญ ขับออกไปจากสถานี ใน ถนนใหญ่ เด็กอายุ 7 ขวบ ในชั้น ป.2 ผมไม่มีความรู้สึกกลัวอะไรเลย ก่อนออกมาผมไม่ได้บอกใครด้วย ผมก็มองในแผ่นที่ ดูว่ามีซอยไหนใกล้เคียง ซอยใน นนทบุรี นั้น ผมไม่รู้ว่าตอนนั้นมันมีกี่ซอย และผมก็ไม่รู้ว่า ซอยบ้าน อภินันท์ อยู่ซอยไหน แผนที่ที่เขียนมา ก็แบบเด็กๆ ผมแค่ขี่จักรไปเรื่อยๆ จนมีบางอย่างผุดขึ้นมา ว่า อภินันท์เคยบอกว่า หน้าปากซอย จะมี ร้านค้า ผมก็เลี้ยว แล้วเข้าไป คุณอาจจะไม่เชื่อ แต่มันเป็นไปได้จริงๆ ภาพที่อถินันท์ เขียนให้ แผนที่ของเขา มันบอกได้ว่า ผมมาถูกทางแล้ว และผมก็เจอ อภินันท์กำลังเดินอยู่ ผมก็ขี่จักรยานเข้าไปหา อภินันท์ ตกใจผมเองก็ตกใจ  อภินันท์บอกว่า ไม่คิดว่าผมจะมาถูก เรา 2 คนก็เลยเข้าไปหา เต่าทองกันตามที่คุยไว้ ตกเย็น ใกล้พลบค่ำ อภินันท์ก็บอกว่า จะกลับบ้านให้ผมไปที่บ้านเขาด้วย พ่อกับแม่ อภินันท์ก็ถาม ว่าผมมาจากไหน มายังไง พ่อกับแม่รู้หรือเปล่า ผมบอกเขาว่า ผมจากสถานีตำรวจดับเพลิง ขี่จักรยานมา เขาก็ตกใจ เพราะระยะทางมัน ประมาณ เกือบ 5 กิโล ซึ่งไกลมาก สำหรับเด็ก และอันตรายมากที่ขี่จักรยานในถนนใหญ่ พ่อกับแม่ อภินันท์ ให้ผม กินข้าว อาบน้ำ ที่บ้านเขา แล้วจะให้พ่อเขาขับรถกะบะมาส่ง ผมไม่คิดอะไรเลยตอนนั้นคิดแต่ว่า สนุกมาก พออาบน้ำเสร็จ เขาก็เอาจักรยานผมไปวางไว้กะบะหลังรถ แล้วให้ผมกับอภินันท์ นั่งหน้า ผมก็นั่งคุยหัวเราะเฮฮา ไปกับเพื่อน จนมาถึงที่สถานี ตำรวจ ตรงลานกว้าง คนทั้งแฟรต ยืนกันเต็มไปหมด แต่ก็ต้องหลีกทาง ให้รถ ทุกคนมองไม่เห็นคนในรถรวมทั้งผมด้วยเพราะกระจกมันดำ เมื่อรถจอด ทุกคนก็เข้าไปมุงดูที่กะบะหลังรถ พอเจอ รถจักรยานผมจอดอยู่ เสียงก็ฮือฮากันดังมากขึ้น ก่อนจะเปิดประตู ผมหันไปเจอ พ่อกับแม่ผม นั่งทรุดตัวร้องไห้ ดึงจักรยานเข้ามากอด ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไม พอผมเปิดประตูลงไป ทุกคนก็พากันชี้นิ้วมาทางผม แล้วบอกว่าผมไม่เป็นอะไร  พ่อกับแม่ ทิ้งจักรยานแล้ววิ่งเข้ามากอดผม ผมตกใจมาก ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จึงร้องไห้ออกมา แม่กอดผมไว้แน่นพูดทั้งน้ำ แบบนี้ไม่เอาแล้วนะลูก อย่าทำให้พ่อกับแม่เป็นห่วงอีกนะ ลูก ผมก็ได้แต่ร้อง พ่อของอภินันท์ก็เล่า เรื่องทั้งหมดให้ ทุกคนฟัง และก็ขอตัวกลับบ้าน พ่อกับแม่พาผมเข้าบ้าน อาบน้ำทาแป้งให้ผมใหม่ ทุกคนในแฟรตยังคง เดินเข้ามาที่นอนผมแล้วเอามือลูบหัวผม ทีหลังอย่าทำให้พ่อแม่เป็นห่วงนะ หลายคนพูดแบบนี้ ผมก็ยิ้มแล้วก็หลับไปด้วยความอ่อนเพลีย  เหตุการณ์ในวันนั้นผ่านไปแล้ว ผมเองก็ลืมไปหมดแล้ว ก็เล่นไปตามประสาเด็ก  บางครั้งผมก็นึกโมโห พ่อ เวลาที่พ่อมักจะแกล้งผม หลายๆเรื่อง พ่อจะชอบแกล้งให้ผม ร้องไห้ แล้วพ่อก็จะหัวเราะ บ่อยครั้ง ที่พ่อจะชวนผมออกไปวิ่งตอนเช้า ผมตอนเด็ก จะวิ่งไม่ทันพ่อ พ่อก็จะวิ่งช้าๆรอผม พอผมเข้าใกล้ ก็จะทำแกล้งวิ่งเร็ว เป็นหลายครั้งจนผมร้องไห้ พ่อก็จะวิ่งเข้ามาโอ๋ แล้วก็เอาผมขึ้นไปขี่คอ ซึ่งผมชอบมาก บางที เวลาผมเล่นอยู่ข้างล่าง พ่อก็จะตโกนลงมาบอกว่า การ์ตูนมาแล้ว แต่มันใกล้จะจบแล้วนะ รีบๆขึ้นมา แต่ไม่เป็นไร เดี๋ยวพ่อจะปิดโทรทัศน์ ไว้ มันจะได้ไม่จบ หลายคนอาจจะคิดว่า บ้า แต่ตอนนั้น ผมว่า สมัยเด็กๆต้องเคยโดนกันบ้าง มุข นี้ และผมเืชื่อด้วย พอวิ่งขึ้นไป พ่อก็บอกว่า มันเพิ่งจบเมื่อกี้ นี่เอง ผมก็ร้องไห้ หาว่า พ่อ ไม่ยอมปิดโทรทัศน์ไว้ก่อน พ่อก็จนปัญญา ไม่คิดว่ามันจะจบจริงๆ  พ่อจะเป็นห่วงผมมาก พ่อจะถามผมทุกวันหลังจากกลับจากเรียนว่า วันนี้กินข้าวเที่ยงไหม ด้วยความเป็นเด็กและผมติดเล่นมาก ผมจะเล่นและไม่กินข้าวเที่ยง พ่อก็จะบ่น ให้ผมทุกวัน และก็จะถามว่าหิวไหมถึงจะตอบว่าไม่หิวแต่พ่อก็จะเดินไปทอดไข่เจียวมาให้ผม เป็นแบบนี้ทุกวัน จนผมต้องกินข้าวเที่ยง ผมไม่อยากให้พ่อเป็นห่วง เรา 3คน อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขในชีวิตที่พอดี แต่ผมเป็นเด็กที่ ขี้โรคพอสมควร ผมมักจะเป็นอะไรแบบกระทันหัน จนทุกคนไม่รู้สาเหตุ
    วัน นั้น ผมนอนอยู่ แล้วก็ต้องตื่นขึ้นมาด้วยอาการที่ทรมานที่สุดของมนุษย์ นั้นคือ  หายใจไม่ได้ ผมหายใจเข้าทางจมูกไม่ได้ ไม่รู้ทำไม ผมพยายามหายใจแต่เข้าไม่ได้ พ่อกับแม่ เห็นอาการผม ก็ถามว่าเป็นอะไร เหมือนคนสะอึก ตลอดเวลา ผมตอบพ่อแม่ไม่ได้ มีเพียงเสียงเบาๆว่า หายใจไม่ออก ฮึกๆ พ่อผมรีบอุ้มผม ไปขึ้นรถพยาบาลทันที หน้าผมเริ่มเขียว แต่สายตาผมยังคงจับจ้อง ไปที่พ่อและแม่ พ่อกอดผมไว้ทั้งน้ำตา และบอกกับผมว่า ให้ผมหายใจทางปาก แม่ผมกรีดร้องในยามที่ผมหลับตา รู้สึก ทรมาน ผมพยายามหายใจทางปาก ในขณะที่รถพยาบาลขับไป อาการผมก็ดีขึ้น ผมบอกกับพ่อแม่ว่า ผมหายใจเองได้แล้ว พ่อผมเอามือลูบที่หัวผม ก่อนจะกอดไว้แน่น แต่เราต้องไปโรงพยาบาลอยู่ดี เมื่อหมอตรวจ หมอจึงบอกว่า ผมเป็นโรค คอตีบ ไม่รู้ว่าใช่หรือเปล่า แม่ผมบอกอย่างงี้ พ่อก็ ตำหนิว่าแม่ ที่ไม่ยอมพาผมไปฉีดวัคซีน หลังจากนั้น ผ่านมาอีก ไม่กี่วัน อาการแบบเดิมก็เป็นอีก แต่คราวนี้ แม้จะพยายามหายใจทางปากก็หายใจไม่ได้  ผมร้องไห้ ไม่ออก พ่อหันไปด่าแม่อย่างรุนแรง ว่าไม่พาไปตอนครั้งแรก แม่เองก็คิดว่ามันคงจะไม่เกิดกับผมอีก ผมบอกกับพ่อว่า ผมไม่ไหวแล้ว พ่อรีบหันไปเร่งคนขับว่าให้ขับไปเร็วๆหน่อยเป็นภาษาพ่อขุนราม เลยทีเดียว ผมยิ้มอย่างหมดแรง ก็รู้สึก อุ่นที่มือ แม่กุมมือผมไว้ก้มหน้าร้องไห้ ผมได้ยินเสียง รางๆ ฟังไม่รู้เรื่อง ลูกช้างๆ อะไรสักอย่าง ตาผมมันค่อยๆหลับลงอย่างช้าๆ แต่อยู่ดีๆ อาการทรมานที่หายไม่ได้ก็หายไป เฮ้อ...ผมรู้สึกดีขึ้น หายใจโล่งท้องมากขึ้น พ่อและแม่ยิ้มทั้งน้ำตาแม่ผม กล่าวขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายทั้งปวงที่ช่วยเหลือผม พ่อสั่งให้คนขับรถพาผมกลับบ้านทันที เสียงหวอที่เคยดัง เงียบสงบในยามขี่กลับบ้าน ผมนั่งบนตักพ่อแล้วก็หลับไปตรงอกอุ่นๆ เช้าวันต่อมา แม่ให้ผมหยุดเรียน เพื่อจะพาผมไปฉีดยา เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่า เด็กทุกคนกลัวเข็ม ผมไม่อยากไป แต่เมื่อแม่บอกว่า จะได้หายจากอาการทรมานที่เป็นอยู่และจะซื้อของเล่นให้ด้วย ผมจึงยอมไป ที่แม่พาไปเป็นคลีนิค สำหรับเด็ก เป็นบ้านไม้มีห้องเรียงกัน ประมาณ 6-7 ห้อง ข้างๆ เป็นร้านขายของเล่น ผมรบเร้าจะเอาแต่ของเล่นไม่ยอมฉีดยา ต่างฝ่ายต่างไม่ยอม ผมได้แต่นั่งร้องไห้ แม่ก็บอกว่า ถ้าไม่ยอมฉีดยาก็จะไม่ซื้อ ของเล่นให้ ผมก็ไม่ยอมท่าเดียว จนแม่ต้องซื้อของเล่นให้ก่อนแต่แม่ถือไว้ไม่ยอมให้ผมจับ มีข้อแม้ว่า ถ้าฉีดยาเสร็จจะเอาให้ทันที ผมก็กัดฟันให้หมอฉีด ยา แม้จะร้องไห้ แต่เมื่อได้ของเล่น ก็เงียบไปตามระเบียบ ผมนั่งหลับหัวพิงตัวแม่มาตลอดทางจนถึงบ้าน  ประมาณ 1 เดือนถัดมา ระหว่างที่ผมกำลังวิ่งเล่นกับเพื่อนๆในวันหยุด แม่ก็เรียกให้ผมเข้าไปหา แล้วก็บอกกับผมว่า แม่จะไปสิงค์โปร์  ผมก็ถามว่าไปทำไม  แม่บอกว่า จะไปทำงานหาเงินช่วยพ่อ แต่แม่ไปไม่นานหรอกนะ ผมในตอนนั้น ไม่อยากให้แม่ไปไหน ก็ได้แต่กอดไว้แล้วก็ร้องไห้ ว่า ไม่ให้ไปหรอก แม่ก็เอามือลูบหัวผม ก่อนที่จะเอาเงินให้ผม 20 บาท ซึ่งมันเยอะมากเลยทีเดียว ในความคิดผม จนผมลืมไปว่า แม่จะไปไหน และแม่ก็ หายไป ผมก็จำไม่ได้ว่า จากแม่ไปตอนไหน ผมร้องไห้หรือเปล่า รู้แต่ว่า ตื่นขึ้นมา ก็เจอแต่พ่อ พอผมถามพ่อ พ่อก็ตอบว่า ไป สิงค์โปร์ ไง พอได้ยินดังนั้นผมก็ร้องไห้ พ่อบอกว่า เดี๋ยวแม่ก็มา ผมจึงหยุด แล้วผมก็ลืม จนพอมานึกถึงแม่ว่า แม่ไปไหน ก็ถามพ่ออีก พ่อก็บอกว่าไปทำงานเดี๋ยวก็กลับ ไม่เป็นไรหรอกนะ เราอยู่กับพ่อ ไม่ต้องร้องไห้ ลูกผู้ชาย ต้องไม่ร้องไห้ นะ ลูก มือพ่อที่ลูบหัวผม มันทำให้ผมรู้สึกเข็มแข็งขึ้นมานิดหน่อย แต่ก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงแม่  ในยามที่พ่อผมต้องออกไปทำงานตอนดึก ทุกครั้งที่ตื่นมา แล้วพบว่าบนเตียงนอนไม่มีใครเลย ผมจะร้องไห้ ลั่นแฟรต จนคนทั้งแฟรต ต้องตื่นมาเคาะประตูห้อง พอผมเปิดออกมา ก็ร้องไห้ บอกว่า พ่อไม่อยู่ เขาก็บอกว่า พ่อไปทำงาน เดี๋ยวก็กลับแล้ว มาเดี๋ยวน้าอยู่เป็นเพื่อน นับ10 คนที่มาแออัดอยู่ในห้องเล็กๆ มานั่งคุยเล่นกับผมในเวลาที่คนส่วนใหญ่กำลังนอน มันทำให้ผมลืมเรื่องที่ร้องไห้อยู่ไปได้เลย ความกัีงวลหมดหายไป ผมหลับตาลงอย่างสบายใจจนพ่อกลับมาเกือบรุ่งสาง ผมรู้สึกตัวเมื่อเห็นพ่อ ก็ถามว่าพ่อไปไหนมา พ่อบอกว่า ไปทำงาน ผมก็งอนพ่อที่ทิ้งผมไว้คนเดียว พ่อจึงบอกว่า ที่แฟรตนี้ มีพ่อของผมตั้งหลายคน มีแม่ของผมตั้งหลายคน ทั้ง ลุง ป้า น้า อา ทุกคน คือ ครอบครัวของผม ในเวลาที่พ่อ ไม่อยู่ ทุกคน จะมาอยู่ดูผมเสมอ คราวหลังที่ตื่นขึ้นมาแล้วไม่เจอพ่อ ก็ให้คิดว่า พ่อคนอื่นก็ยังอยู่คอยเฝ้าดู ผมอยู่เสมอนะ ผมหันมองหน้าทุกคนที่มีรอยยิ้มจริงใจที่คอยเอาใจใส่ผม ทั้งน้ำตา จาก คืนนั้น ทุกครั้งที่ผมตื่นขึ้นมา โดยไม่มีพ่อ ทั้งๆที่น้ำตามันไหล แต่ก็พยายามฝืนหลับตาลงให้ได้ คิดเสมอว่า เดี๋ยวพ่อก็กลับมา มันจึงทำให้ผมหลับตาลงได้อย่างสบายใจ  วันเวลาผ่านไป ผมมีอายุได้ 8 ขวบ แม่ก็กลับมา จากตอนนั้นที่แม่ไป นับแล้วประมาณ 7 เดือน ผมเจอแม่ในขณะ ที่วิ่งเล่นอยู่กับเพื่อน แม่ถือกระเป๋า ใบใหญ่ มาข้างขวา มือซ้ายถือ ถุงห่ออะไรไม่รู้ผมไม่สน ผมวิ่งเข้าไปกอด ขาแม่ไว้ คิดถึงแม่มาก มันร้องไม่ออก ผมหัวเราะที่เจอแม่ แม่ทิ้งถุงทั้งหมด แล้วอุ้มผมขึ้นไปหอม สักพักพ่อก็เดินลงมาช่วยถือของไปที่ห้อง พ่อกับแม่พูดคุยอะไรกันไม่รู้ บอกให้ผมไปเล่นก่อน จนตกเย็น แม่ถามผมว่า ถ้ามีน้อง จะตั้งชื่อว่าอะไร ผมจึงบอกว่า ผมชื่อกบ น้องต้อง ชื่อ ไก่ แม่ผมก็ขำชอบใจ หลายคนในแฟรตก็ถามผมว่า อยากได้น้องผู้ชายผู้หญิง  ผมอยากไ้ด้น้องผู้หญิง พอถามว่าทำไม  เพราะน้องผู้หญิงจะได้ไม่แย่งของเล่นผม ทุกคนก็หัวเราะชอบใจ ผมไม่เคยสังเกตุตัวแม่เลยว่า แม่ผมมีท้อง ผมอาจจะจำไม่ได้  วันนั้น พ่อฝากผมไว้กับคนในแฟรต เป็นพ่อ ของ มิค (ที่มาว่าผม โตจะตายให้แม่ป้อนข้าวอีก ) ซึ่งสนิทกับพ่อผม ผมไม่รู้ว่า พ่อกับแม่ไปไหน แต่ตอนนั้นเริ่มโตแล้วจึงไม่ร้องไห้ ผมก็เล่นบ้านมิค กินข้าว อาบน้ำ นอนที่นั้น ผ่านไป อีกวัน พ่อกับแม่ก็ไม่กลับ ผมจึงถาม น้า มี (พ่อ มิค) ว่า่พ่อไปไหน น้ามี บอกว่า พ่อพาแม่ไปโรงพยาบาลไง ผมถามว่า ไปทำไม แม่ไม่สบายเหรอ  น้ามีบอกว่า จะไปคลอด น้องผม   คลอดเหรอ  คลอดคืออะไรผมก็ถามน้ามี  น้ามีก็อธิบายแบบง่ายๆ แต่ผมก็ไม่เข้าใจ จนวันถัดมา แม่กับพ่อ ก็กลับมา แต่สิ่งที่เพิ่มเข้ามาคือ น้องชายของผม แม่มีสีหน้าซีดเซียวบอกกับผมว่า น้องชื่อไก่ ตามที่ผมบอก ดูแลน้องด้วยนะลูก  ผมดีใจที่เห็นพ่อกับแม่ มากกว่า แต่ก็สนอกสนใจ เจ้าตัวเล็ก สมาชิกใหม่ของบ้านด้วยเช่นกัน ผมกับน้อง อายุห่างกันเกือบ 9 ปี แต่นับวัน ความสนใจที่ปกติ ทุกคนจะจับจ้องมาทางผม ตอนนี้กลับกลายเป็นว่า น้องผม ดึงดูดสิ่งเหล่านั้นที่ผมเคยได้รับไปหมดสิ้น วัยนั้น ผมเรียกร้องความสนใจจากพ่อและแม่ เพราะผมรู้สึกว่า ทุกคนรักแต่น้อง ไม่มีใครรักผมมั่งเลย  ยิ่งตอนพ่อผมแกล้งพูดว่า ผมน่ะ เป็นลูกที่พ่อเก็บมาเลี้ยง พ่อไปเจอข้างๆถังขยะ นอนมดกัดอยู่ สงสารเลยเก็บมาเลี้ยง ทำให้ผมร้องไห้ สะอื้นไม่หยุดไปทั้งคืนเลยทีเดียว พ่อก็มาปลอบ แต่วันต่อมานึกสนุก ก็แกล้งมุขเดิมอีก  ผมก็ร้องไห้เหมือนเดิม ยิ่งเวลาผ่านไป ความนึกคิดเริ่มมี ผมไม่รู้สึกว่า พ่อแม่รักน้องมากกว่าแล้ว ในยามที่น้องผมเริ่ม พูดได้ อายุพอๆกับผม เมื่อก่อน มันทำให้ผมนึกเห็นสิ่งที่ผมเคยทำในตอนนั้นขึ้นมาทันที ผมเคยงอแงอยากได้ของเล่น เคยร้องไห้เมื่อตื่นมาคนเดียว และอื่นๆอีกมากมาย น้องผมในวัยนี้ ก็เป็นแบบเดียวกับผม มันทำให้ผมรู้สึกว่า ความเป็นพี่ชาย ต้องแสดงให้น้องเห็นเป็นแบบอย่าง จากที่เคยร้องเอาของเล่น ในบางทีที่แม่กับน้องและผมไปตลาดนั้น น้องผมเมื่อเห็นของเล่นก็อยากได้ แต่ก็ลำบากใจถ้าจะซื้อก็ต้องซื้อให้ผมด้วย ผมบอกแม่ว่าผมไม่เอา แม่ก็ถามว่าทำไม  ผมบอกว่าผมโตแล้ว ในวัย เกือบ 10 ขวบของผมบอกกับตัวเองเลยว่า ถ้าต้องทำให้แม่เหนื่อยมากขึ้น ผมจะไม่เอา แม่จึงซื้อของเล่นให้น้อง มันมาเจ็บใจก็ตรงที่น้องผม มันเอาของเล่นมาเย้ย นี่ล่ะ ผมก็เขกหัวมันไปหลายทียิ่งไม่ชอบหน้าอยู่ด้วย ผมจะแกล้งน้องทุกวัน จนพ่อมาดุเสมอ จนผ่านไปหลายเดือน พ่อก็บอกกับผมว่า เราจะย้ายไปที่จังหวัดร้อยเอ็ด ผมก็ถามพ่อว่า ทำไมเราต้องไป พ่อบอกว่า ตำรวจดับเพลิงที่พ่อทำอยู่นั้น ไม่ใช่สิ่งที่พ่อต้องการจะเป็น จริงๆพ่ออยากเป็นตำรวจในโรงพัก คอยออกตรวจตราหมู่บ้าน พ่อพูดมาผมไม่เข้าใจ จนถึงเดี๋ยวนี้ เพิ่งจะเข้าใจว่า ตอนที่พ่อสอบตำรวจนั้น สมัยนั้น เมื่อสอบได้ ก็จะขึ้นอยู่กับว่า จะถูกส่งไปประจำที่ไหน เป็นตำรวจอะไร ไม่รู้ว่าผมเข้าใจถูกหรือเปล่า รู้แต่ว่า ตั้งแต่จำความได้ ผมโตที่สถานีตำรวจดับเพลิง บางซ่อน พ่อบอกว่า เมื่อถึงเวลาที่พ่อสามารถ ขอย้ายกลับไปภูมิลำเนาได้ พ่อจะขอย้ายกลับไปประจำการที่บ้านเกิดบ้าน จังหวัดร้อยเอ็ด  ภาพความทรงจำของผมก็ผุดขึ้นมา ผมจำได้ว่า เมื่อนานมาแล้ว พ่อเคยพาผมมาที่บ้านปู่ (พ่อของพ่อ) บ้านเกิดพ่อ เป็นบ้านนอก บ้านปู่ มี 2 ชั้น เป็นไม้บ้าน ข้างล่างเป็นพื้นดินโล่งๆ เหมือนบ้านแถวบ้านนอกทั่วไป ผมไม่ชอบเอาซะเลย ผมบอกพ่อว่า ผมไม่อยากไป พ่อก็ถามว่าทำไมไม่อยากไป  ผมก็หาคำพูดไม่ถูก และคืนนั้น ก็มีงานเลี้ยงส่งที่สถานี ซึ่งทุกคนในแฟรต ต่างก็มาเลี้ยงส่งครอบครัวผมกันพร้อมหน้า ผมตอนนั้น รู้สึกสนุก จนลืมไปว่า เลี้ยงอะไรกัน จนงานจบ ในคืนถัดมา ข้าวของทั้งหมด ก็ถูกขนไปไว้บนรถกะบะ
    ไม่ว่าจะเป็นตู้เย็น โทรทัศน์ อะไรต่างๆถูกยัดไว้กะบะหลังจนเต็มไปหมด ส่วนที่คนขับนั้น มีที่ว่างเพียง 3คน แต่ผมกับน้องนั่งบนตักพ่อกับแม่จึงสามารถไปได้  น้องนอนบนตักแม่แล้วหลับไป ส่วนผมนั่งบนตักพ่อ เมื่อรถเคลื่อนออก ไปได้สักพัก พ่อที่เห็นว่าผมยังไม่หลับก็ถาม  ทำไมผมถึงไม่นอน ผมบอกกับพ่อว่า นี่เป็นครั้งแรก ที่ผมได้ย้ายบ้าน ผมรู้สึกตื่นเต้น นอนไม่หลับและก็ร้อนด้วย ในรถไม่มีแอร์ แม้จะเปิดกระจก แต่ลมก็สวนผ่านรถไปเฉยๆ พ่อเอามือป้องลมบีบบังคับให้มันหันมาทางผม มันเย็นมาก จนผมรู้สึกสบายตัว ก็หลับไป  จนเกือบเช้าอีกวัน ผมรู้สึกตัวเพราะมีเสียงหมาเห่า รถจอดนิ่ง พร้อมกับพ่อ สะกิดให้ผมตื่น ผมลืมตาแทบไม่ขึ้น เพราะง่วงนอนอยู่  แต่ภาพที่เห็นนั้น ....

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น